วันมาฆบูชา

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

TEMPLE

วัดท้าวราษฎร์ ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๘๐๒๘๐

พุทธศาสนสุภาษิต

โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข

นรก มีจริงหรือไม่ นี่คือ คำตอบ

| |

นรก ที่ห่างไกลจากความสุข
นรก ทั้ง 8 ขุม มีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่กรรมชั่วที่เคยทำนรก นรกแบ่งเป็นขุม ๆ ตามอำนาจของกรรมที่เหล่าสัตว์โลกได้กระทำไว้บันดาลให้เกิดขึ้น

ขุมที่ 1 สัญชีวมหานรก คือนรกที่ไม่มีวันตาย สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลเอาดาบนรกฟาดฟันกายให้ ขาดเป็นท่อนๆ บางทีก็เอา มีด เอาขวานมาถาก เฉือนเนื้อทีละน้อยๆ จนสิ้นใจตาย ทันใดนั้นเอง ก็มีลมกรรม พัดโชย มาถูกต้องกาย ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นสัตว์นรก เหมือนเดิมอีก นายนิรยบาลเห็นดังนั้น ก็ลงโทษให้ได้รับความเจ็บปวด จนกระทั่งถึงตายอีก รับกรรมอยู่อย่างนี้นานถึง ๕๐๐ ปี นรกทีเดียว
ขุมที่ 2 ชื่อกาฬสุตตนรก เป็นนรกด้ายดำ นายนิรยบาลจะเอาเส้นด้ายดำ มาตีเป็นเส้นตามร่างกายของสัตว์นรก ที่จับ ให้นอน บนแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนระอุ แล้วเอาเลื่อยมา เลื่อย เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาตัดตามเส้นที่ตีเอาไว้ แม้จะ ดิ้นทุรนทุรายอย่างไรก็ไม่หลุด ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก สัตว์นรกจะถูกเลื่อยตัดร่างกายจนตาย แล้วกลับฟื้นขึ้นมา ใหม่ ทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าสัตว์นรกจะหมดกรรม ซึ่งต้องใช้เวลานานถึงพันปีนรก
มหานรกขุมที่ 3 ชื่อสังฆาฏนรก หมายถึงนรกที่ ถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกาย ให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกขุมนี้มีรูปร่างหน้าตาประหลาด บางตนมี หน้าเป็นวัว แต่ตัวเป็นมนุษย์ หรือหน้าเป็นมนุษย์ แต่ตัวเป็น ช้าง เป็นเสือ ก็จะถูกนายนิรยบาลเอาโซ่เหล็กร้อนระอุ มัดคอเอาไว้ฉุดกระชากลากมาลากไป แล้วเอาฆ้อนเหล็ก ทุบกระหน่ำลง บนศีรษะ ร่างกายก็ป่นปี้จนกระดูกแหลกละเอียด พอตายแล้วก็มีลมกรรมพัดมาให้ฟื้นคืนชีพอีก ต้องมาใช้กรรมนาน สองพันปีนรก ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ ไร้ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ชอบทำการทารุณ เบียดเบียนผู้อื่น
นรกขุมที่ 4 คือโรรุวนรก ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่าเต็มไปด้วยเสียงร้องระงม ครวญครางอย่างน่าเวทนา ศีรษะ มือเท้าของสัตว์นรก จมลงไปในดอกบัวเหล็ก นอนคว่ำหน้าเปลวไฟก็เผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อ
มกับสัตว์นรก จะตายก็ไม่ ตาย ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นจนหมด ๔,๐๐๐ ปีนรก เพราะในอดีต ชอบนำสัตว์มาทรมาน หรือเคยเป็นตุลา การผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีความโดยขาดความยุติธรรม หรือเป็นเพราะไปลักขโมยสมบัติของพระศาสนา
ขุมที่ 5 คือมหาโรรุวนรก ก็คล้ายๆ กับนรกขุมที่ ๔ นั่นแหละ แต่มีเสียงร้องครวญครางมากกว่า ได้รับทุกข์ทรมานมากกว่า สัตว์ในขุมนี้ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็กที่คมกริบ มิหนำซ้ำยังร้อนแรงด้วยไฟนรกอีกด้วย เผาไหม้สัตว์ตั้ง แต่เท้าจนถึงศีรษะ เปลวไฟเข้าไปในทวารทั้ง ๙ จะตายก็ไม่ตาย ได้รับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นนานถึง ๘,๐๐๐ ปีนรก เพราะกรรมในอดีตได้ตัดศีรษะสัตว์และมนุษย์เอาไว้มาก ทำโจรกรรมด้วยความอาฆาต พยาบาท ปล้นสมบัติในพระ ศาสนา ปล้นทรัพย์สินของผู้มีพระคุณ พ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้ทรงศีลทั้งหลาย
ขุมที่ 6 ตาปนรก สัตว์นรกจะได้รับความเร่าร้อน อย่างน่าเวทนา เพราะถูกหลาวเหล็กที่ร้อนโชติช่วงด้วยเปลวไฟ เสียบแทงสัตว์ทั้งหลายไว้ แล้วยังมีสุนัขนรกตัวใหญ่ เท่าช้างสารรุมทึ้งจนเหลือแต่กระดูก ชดใช้กรรมอยู่อย่างนี้ถึง ๑๖,๐๐๐ ปีนรก
ขุมที่ 7 คือมหาตาปนรก เป็นขุมที่สัตว์นรกได้รับความเร่าร้อนเหลือประมาณด้วยการถูกบังคับให้ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่ร้อนลุกเป็นไฟ แล้วจะถูกลมกรดที่ร้อนแรงพัดกระหน่ำสัตว์ให้ตกลงมาข้างล่างซึ่งมีขวากหนามเหล็กที่ร้อนแดงด้วย ไฟนรก ปักเรียงรายอยู่ เสียบทะลุร่างกาย ดูแล้วน่าหวาดเสียว สยดสยอง ต้องทน ทรมานอย่างนี้ถึงครึ่งอันตรกัป ก็ คือการนับอายุจากที่มนุษย์อายุยืนเป็นอสงไขยถอยลงมาถึงอายุ ๑๐ ปี แล้วขึ้นไป ถึงอสงไขย เป็น ๑ อันตรกัป ฉะนั้นครึ่งอันตรกัป ก็ถือว่ายาวนานมาก

ขุมที่ 8 ขุมสุดท้าย คืออเวจีมหานรก เป็นนรกที่สัตว์ถูกทรมานโดยไม่มีการหยุดพักเลย อยู่ลึกที่สุดและเสวยวิบากกรรมยาว นานที่สุดถึง ๑ อันตรกัป กรรมที่ทำให้เกิด ในขุมนี้ เพราะทำอนันตริยกรรมเอาไว้ ตั้งแต่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต และก็ทำลายสงฆ์ให้แตกกันนอกจากนี้ยังมีโลกันตนรก ซึ่งเป็นอีกภพหนึ่งที่พิเศษสำหรับผู้ที่ทำกรรมชั่วมากเป็นพิเศษ เช่นเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ จะ ไปอยู่สุดขอบปากจักรวาลโน่น ตรงนั้นจะมีความมืดมนอนธการ ไม่มีแสงเดือนแสงดาวให้เห็น มืดสนิท และเย็นยะเยือก โลกันตนรก ก็คือนรกที่อยู่สุดโลกสุดจักรวาล จะเห็นแสงสว่างทีก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาเสด็จ อุบัติขึ้นในโลก แสงสว่างแห่งพุทธธรรมจะโชติช่วงไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างไปถึงโลกันตนรก ถ้าร้อนที่สุด ไม่มีที่ไหนเกินอเวจีมหานรก แต่ถ้าเย็นที่สุดก็คือโลกันตนรกนี่แหละ แล้วสัตว์นรกในขุมนี้มีรูปร่างใหญ่โตมาก เล็บมือเล็บเท้ายาวเฟื้อย ต้องใช้เล็บมือเท้าเกาะอยู่ที่ขอบจักรวาล ห้อยโหนตัวไปมาเหมือนค้างคาวห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้ ห้อยโหนไปก็บ่นเพ้อรำพึงรำพันกับตัวเองว่า "ทำไมเราถึงมาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่คนเดียวหนอ" เพราะมืดสนิทจนไม่เห็นสัตว์นรกที่อยู่ใกล้ๆ พอมือคว้าไปถูกเพื่อนซึ่งเป็นสัตว์นรกด้วยกัน ก็สำคัญว่าเป็นอาหาร ต่างคน ต่างกัดกินเลือดกินเนื้อกัน จนพลัดตกลงไปข้างล่างที่เป็นทะเลน้ำกรด ร่างกายจะถูกน้ำกรดกัดจน เปื่อยแหลกเหลวไปทันที พอสิ้นใจตายก็กลับมาเกิดเป็นสัตว์นรกอีก แล้วรีบตะเกียกตะกายปีนป่าย ขึ้นไปเกาะขอบจักรวาลตามเดิม ทนทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะครบชั่วหนึ่งพุทธันดร ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าทำกรรมบาปหยาบช้า มีความเห็นผิด อกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นผู้มีดวงใจมืดบอดใครทำคุณด้วยก็ มองไม่เห็น แถมยังทำร้ายผู้ทรงศีล ด้วยอำนาจกรรมนี้ ทำให้มาอยู่ในสถานที่อันมืดมิดอย่างนี้

สวรรค์ ที่ที่ความสุข
มัชฌิมสงสารเป็นการท่องเที่ยวในภูมิกลาง มี 7 ภูมิ
1.มนุสสภูมิ คือ โลกมนุษย์ เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ มีปรากฏให้เห็นได้ แต่จะมีรูปร่างเป็นอย่างไรนั้น ไม่ต้องบอกก็เห็นจะได้ กระมัง เพราะว่าท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงเคยเห็นมนุษย์มากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ชีวิตมนุษย์นับว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เพราะว่าสามารถที่ประกอบกรรมอันสูงสุดได้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม

2.จาตุมหาราชิกาภูมิ คือ เทวโลกชั้นที่ 1 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมมีความสุขสบายบริบูรณ์ไปด้วยกามคุณอารมณ์มากกว่ามนุษย์ เพราะเป็นเทวดาได้เสวยทิพยสมบัติ ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลแห่งตนที่ได้สร้างสมไว้ โดยมีเทวาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ 4 องค์ทรงเป็นผู้ปกครอง

3.ตาวติงสาภูมิ คือ เทวโลกชั้นที่ 2 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมเสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขประณีตกว่าทวยเทพชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นทวยเทพที่อยู่ภายใต้ความปกครองของเทพยดา 33 องค์ซึ่งมีสมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นประธาน

4.ยามาภูมิ คือ เทวโลกชั้นที่ 3 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมเสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขประณีต และมีอายุยืนยาวกว่าทวยเทพในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพยดาที่อยู่ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระสุยามเทวาทิราช

5.ดุสิตาภูมิ คือ เทวโลกชั้นที่ 4 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมเสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขประณีตยิ่งขึ้น ถึงภาวะที่มีความสุขที่น่ายินดีชอบใจอยู่ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช

6.นิมมานรตีภูมิ คือ เทวโลกชั้นที่ 5 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมเสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขประณีตยิ่งขึ้น มีความเพลิดเพลินเจริญใจในอารมณ์ ต่างๆ อันตนเนรมิต หรือบันดาลได้ตามความยินดีพอใจของตน โดยมีสมเด็จพระนิมมิตเทวาธิราชเป็นผู้ปกครอง

7.ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ คือ คือ เทวโลกชั้นที่ 6 ผู้มาอุบัติเกิดในเทวโลกชั้นนี้ ย่อมเสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขประณีตเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเทวโลกชั้นสูงสุด มีความ เพลิดเพลินเจริญใจในกามคุณอารมณ์ต่างๆที่ผู้อื่นเนรมิตมาให้ตามความปรารถนาแห่งตน โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช เป็นผู้ปกครอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น