ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มต้นที่ สนามหน้าเมือง บรรยากาศก็อบอุ่นเหมือนเดิม มีการทักทาย สวัสดีกันตามธรรมเนียม แม้ว่าการศึกษาดูงานครั้งนี้ แม้ว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนอาจไม่สามารถร่วมเดินไปได้ โปรแกรมก็ดำเนินการไปตามปกติ เริ่มต้นที่นครศรีธรรมราช เดินทางอันยาวนานสู่หนองคาย ระหว่างการเดินทาง อาตมภาพได้นั่งพูดคุยกับอาจารย์อภิชาติ วัชรพันธ์ ทำให้เกิด Idea ดีๆ ในการบริหารโรงเรียน หรือขายฝัน คือ 1. โครงการต่อยอดให้ถึงฝัน ได้แก่ เด็กที่เรียนเก่ง ความประพฤติดี ส่งให้เรียนต่อโดยเราเป็นผู้ออกทุนให้จนจบตามลำดับ 2. โครงการสร้างอาชีพตามความถนัด ส่งเสริมให้มีอาชีพตามบริบทของท้องถิ่น 3. โครงการปั้นดินให้เป็นดาว ได้แก่ สร้างให้นักเรียนเป็นดารา หรือนักร้องตามความชอบหรือถนัดของเขา รวมทั้งส่งเสริมศิลปพื้นบ้าน เช่น เพลงบอก หนังตะลุง มโนราห์ เป็นต้น และเรื่องที่ 4 การบริหารจัดการรถรับส่งนักเรียน ทำให้เข้าสู่ระบบ เช่น ทำประวัติรถแต่ละคัน ประวัติการใช้งานแต่ละวัน การตรวจเช็คสภาพ เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้งาน (ทั้งหมดนี้ จะดำเนินการปีการศึกษา 2553 นี้)
บรรยากาศบนรถ ก็สนุกสนานบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามโปรแกรมประจำวัน เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ หรือซ้ำซาก การเดินทางตลอดวันและตลอดคืน ก็มีสิ่งให้ลุ้นระทึกอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปในแต่ละวัน นับว่าเป็นประสบการณ์ และเป็นความทรงจำที่ล้ำค่า หากพลาดโอกาสไปแล้ว ก็ถือว่าน่าเสียดาย หลับบ้างตื่นบ้าง สุดท้ายก็ถึงจุดหมายปลายทางที่จังหวัดหนองคายริมแม่น้ำโขง มองเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวทอดเป็นแนวยาวเชื่อมฝั่งประเทศไทยกับประเทศลาว ตอนเช้าๆ อากาศกำลังดีทุกคนมีความสุข ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันตามความชอบใจ
จากนั้น คณะนักศึกษา ป บัณฑิตทุกคน เดินทางไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนอนุบาลหนองคาย คณะครูอาจารย์ที่นั้น ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี (หากเปรียบเทียบก็เท่ากับอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช)นั้นแหละ แต่ความแตกต่างก็ภูมิประเทศ ประสบการณ์ของผู้อำนวยการ และคณะครู ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เราคณะนักศึกษาต้องการค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่เขามีดี เช่น มี ผอ.ดี ครูดี การศึกษาครูในโรงเรียนก็ดี ความร่วมมือ ความรัก ความสามัคคีในโรงเรียนก็ดี และดีสุดท้ายที่น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะการที่เราจะมีดีกว่าคนอื่น ต้องทำอะไรที่ดีให้ต่างจากคนอื่น จึงจะได้ดี และไม่น่าแปลกใจที่โรงเรียนนี้ ได้รับรางวัลเหรียญทองมากมาย และที่สำคัญ ผอ.ต้องมีความสามารถในการเข้าหาเจ้านายดีด้วย วันที่ 19 มกราคม 2553 เวลา 08.00 น. ได้เดินเข้าผ่านด่านประเทศไทยเข้าสู่ประเทศลาวโดยรถบัสนำเที่ยวลาวโดยมีไกด์ลาวสาวสวย ผู้มากด้วยประสบการณ์ในการเป็นผู้นำเที่ยว บรรยากาศประเทศลาวก็เป็นแบบเดียวกับหนองคายบ้านเรานั่นแหละ แม้ว่าเราอยู่คนละฝั่งโขง แต่ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ก็ยังคงมีความเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี ลาวแม้ว่าจะเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส หรือเป็นประเทศที่เปิดพรมแดน แต่ลาวก็ไม่ลืมความเป็นชาติลาว ซึ่งแตกต่างจากคนไทย ที่ถือตัว ถือตนว่าเป็นไท ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติ แต่ปัจจุบัน ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ของคนไทย เต็มไปด้วยวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเมืองขึ้นของเขา (อย่าดีแต่คุยเลย) แต่ว่าจุดเด่น จุดด้อยของลาวก็มีเหมือนกัน ตามวิสัยของคนเหมือนๆ กัน ไม่ใช่ว่าลาวจะดีไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะดีมาก
กว่าหรือชั่วมากกว่ากันเท่านั้นเอง
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 การไปทัศนศึกษาหมู่บ้านงูจงอาง ก็คงไม่มีอะไรแปลกมาก ก็คงอยู่ที่บริบทของพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศ และรวมไปถึงการสนับสนุนการสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. ซึ่งอาศัยว่า พื้นที่ตรงนี้ หมู่บ้านนี้มีงูจงอางเยอะ ก็ทำให้มันเกิดประโยชน์มีมูลค่าขึ้นมา และก็ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้มาดูการแสดง รับบริจาค ก็เหมือนกันลครเร่ แต่ที่นี่ไม่เร่ รอให้คนมาดูเองไม่ดีกว่าหรือ(อิอิ ฉลาด เราโง่หรือเปล่าที่ไปดูเขา อย่าคิดมาก) บ้านเรามีทรัพยากรเยอะแยะ ดีกว่าเขา ทำไมเราไม่คิด หรือว่า คิดแล้วไม่มีคนสนับสนุน ก็เลยเจ้งไปตามๆ กัน แต่ก็มีหมู่บ้านคีรีวง ที่น่าภาคภูมิใจที่ยังคงเป็นชุมชนการท่องเที่ยว ที่ดึงรายได้ให้กับชุมชนและจังหวัดนครศรีธรรมราช หมู่บ้านงูจงอางก็เช่นเดียวกัน ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ไปชม สร้างรายได้ให้กับชุมชนและจังหวัดอุดรธานีเช่นกัน แต่การไปดูหมู่บ้านงูจงอาง ก็พอสรุปได้ว่า ใครมีความคิดอะไรดีๆ ที่แตกต่างจากคนอื่นเขา ก็สร้างเป็นจุดขาย สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง คร้าบบบบบ!!!
วันที่ 21 มกราคม 2553 ไปเที่ยวเมืองเพชรบุรีเมืองขนมหม้อแกง แต่ว่าเราก็ไปเที่ยวป่าเข้าหาธรรมชาติ เทีอกเขา ลำเนาไพร และสายน้ำ แต่ไม่มีน้ำแล้ว เพราะธรรมชาติเปลี่ยนไป ภาวะโลกร้อน ด้วยฝีมือของคนหรือ มนุษย์ ที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ แต่จะประเสริฐจริงหรื๊อ ช่วงนี้เป็นบรรยากาศผ่อนคลายๆ สบายๆ
สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือสายตาของมนุษย์จะมองเห็น แต่บางทีสัมผัสได้ เช่น อากาศซึ่งอยู่นอกเหนือสายตาของมนุษย์ที่จะมองเห็นแต่มนุษย์ก็สัมผัสกับอากาศได้ ฉันใด วิญญาณ(การรับรู้) ก็เช่นกัน ตั้งแต่วันแรกที่เราไปศึกษาดูงานมาแต่ละที่นอนพักที่โรงแรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมานอนที่บ้านพักแถวเขื่อนแก่งกระจานก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้ขณะที่สติกำลังจะเผลอสติ (กำลังจะหลับนั่นเอง) หากพูดแบบชาวบ้านทั่วไป เรียกว่า ผีอำ หากมองในแง่วิทยาศาสตร์ ก็จะเรียกว่า จิตและสมองจะเก็บข้อมูลต่างๆ แล้วก็จะทำให้เราฝันไป ขณะร่างกายพักผ่อน แต่จิตยังไม่ได้พักผ่อน อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้เรียกว่าอะไร สิ่งเหล่าก็ขอให้เป็นประสบการณ์ของแต่ละคนก็แล้วกัน
วันรุ่งขึ้นทุกคนก็ตื่นเช้า ขมักขเม้นเตรียมตัวเดินทางกลับด้วยความประทับใจ และเหนื่อยกับการเดินทางแบบสลบสไลไปตามกัน คนหนุ่มที่ไฟแรงก็สู้ไหว คนแก่แล้วก็หลับกันไปตามอัธยาศัย และก็เดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย