วันมาฆบูชา

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

TEMPLE

วัดท้าวราษฎร์ ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๘๐๒๘๐

พุทธศาสนสุภาษิต

โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข

ใบงานที่ 14 แสดงความคิดเห็น ระหว่าง Blogsopt.com กับ Go to know.org

| | 0 ความคิดเห็น


1. จุดเด่น blogspot คือ
1.1 สามารถแต่งหน้าให้สวยงามกว่า Go to know
1.2 ใส่นาฬิกา ปฏิทิน ใส่เสียงเพลง เพิ่มวีดีโอ ไสลได้
1.3 สำหรับ Go to know เป็น blog ง่ายๆ สำเร็จรูป คล้ายๆ กับบะหมี่ สำหรับเร็จรูปนะ แค่ใส่น้ำร้อนก็กินได้เลย แต่สำหรับ blogspot ถ้าเข้าใจวิธีทำ วิธีปรุง ก็จะได้ลิ้มรสชาติที่อร่อย แต่ต้องเข้าใจกรรมวิธีในการทำ พอทำเป็นแล้วก็ไม่ยาก สนุกด้วย และก็สามารถที่จะเติมแต่งสีสัน หรืออะไรตามใจเราชอบได้
1.4 กลุ่มผู้ใช้บล็อก gotoknow มากกว่า blogspot เพราะว่าใช้งานง่ายกว่า
1.5 blogspot เหมาะกับการจัดการกลุ่ม มากกว่า gotoknow
1.6 gotoknow เหมาะกับการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณชนมากกว่า blogspot
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

14 กุมภา วันวาเลนไทน์

| | 0 ความคิดเห็น

วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยาย

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


ประวัติ
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
[
แก้] นักบุญวาเลนไทน์

นักบุญวาเลนไทน์
นักบุญวาเลนไทน์เมื่อเห็นดังนั้น ท่านผู้ว่าราชการเกิดความอิจฉา และต้องการกำจัดท่านวาเลนไทน์ จึงจับท่านวาเลนไทน์ไปขังไว้ในคุกมืด แล้วใช้ไม้เป็นปุ่มเป็นตาเฆี่ยนท่านอย่างสาหัส ที่สุดก็นำท่านไปตัดศีรษะ นักบุญวาเลนไทน์เป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวเมืองตารัสก็อง(ภาคใต้ของฝรั่งเศส)
[
แก้
] การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน


คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ



[ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย]

วันแห่งความรักในพระพุทธศาสนา
วันมาฆบูชา เป็นวันแห่งความรักในทางพระพุทธศาสนา เนื่องมาจากหลักธรรม “ โอวาทปาฏิโมกข์” ที่ทรงแสดงในวันนั้นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรัก อันเป็นความรักที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม ปรารถนาดีต่อกัน เว้นจากทุจริต
ความหมายของวันมาฆบูชาคำว่า มาฆบูชา มาจากภาษาบาลีว่า มาฆปูรณมีปูชา แปลเป็นภาษาไทยว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนสาม ซึ่งก็ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส (เดือนแปดสองหน) ปีนั้นก็จะเลื่อนไปเป็นวันเพ็ญเดือน 4 แทน
ความเป็นมาและความสำคัญของวันมาฆบูชาวันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหลักการทางพระพุทธศาสนา แก่ภิกษุสงฆ์ เมื่อครั้งประทับจำพรรษาที่ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในวันนั้นได้มีเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น ท่านเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต แปลว่า การประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ได้แก่
ภิกษุสงฆ์ จำนวน 1 , 250 องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายกัน
ภิกษุสงฆ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันตขีณาสพ ที่ได้อภิญญา 6 (1. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ 2. ทิพพโสต หูทิพย์ 3. เจโตปริยญาณ อ่านใจคนอื่นได้ 4. ปุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาติได้ 5. ทิพพจักษุ ตาทิพย์ 6. อาสาวักขยญาณ สิ้นอาสวะกิเลส) ทั้งสิ้น
ภิกษุสงฆ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเอหิภิกขุ (พระพุทธเจ้าทรงบวชให้)
วันนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือนสาม)
ซึ่งเหตุการณ์ทั้ง 4 ประการนี้ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน จึงทำให้เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งมีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ที่หาดูได้ยากมากในปัจจุบันหรือ หาดูไม่ได้เลยก็ว่าได้
หลักการที่ว่าด้วยความรัก
โอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหลักการทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันนั้นมีใจความโดยย่อว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง (ละชั่ว) ทรงสอนให้รู้จักรักเพื่อนร่วมโลก
กุสลฺลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำดี) ทรงสอนให้รู้จักรักเพื่อนร่วมโลกและรักตนเอง
สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตให้ขาวรอบ (ทำใจให้บริสุทธิ์) ทรงสอนให้รู้จักรักตนเอง

จากหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้นี้เป็นเครื่องชี้ชัดว่า พระองค์ทรงเน้นย้ำเรื่องความรัก โดยเฉพาะความรักที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม ไม่ว่าจะเป็นการรักสัตว์ รักเพื่อนมนุษย์ รวมทั้ง การรักตนเอง ก็ทรงสอนให้รู้จักรักด้วยเมตตาธรรม โดยเว้นจากทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการทำร้าย ข่มเหง รังแก เบียดเบียน รวมทั้ง การกล่าวร้ายด้วย ให้เว้นเสียให้ได้ หรือ กำจัดออกไปจากใจให้ได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า วันมาฆบูชา เป็นวันแห่งความรักในทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
วันแห่งความรัก : ทำไมคนไทยรู้จักวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา? หากกล่าวถึงวันแห่งความรักแล้ว คนไทยหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่วัยสูงอายุ ก็คิดถึงแต่วันวาเลนไทน์ในทางศาสนาคริสต์กัน โดยลืมมองหรือมองข้ามความสำคัญของวันมาฆบูชาในทางพระพุทธศาสนาของเราไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เราถูกปลูกฝัง และถูกครอบงำจากวัฒนธรรมตะวันตก จนทำให้เกิดเป็นค่านิยมที่ถือปฏิบัติกันในหมู่คนไทย ทั้งๆที่วันดังกล่าวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธของเราสักนิดเลย แต่เราก็พากันฉลองวันวาเลนไทน์อย่างดูดดื่ม สนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว
หากให้เขาเหล่านั้นเล่าความสำคัญของวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์แล้วละก็ เกือบร้อยเปอร์เซ็น สามารถที่จะบอกความเป็นไปเป็นมาและความสำคัญของวันวาเลนไทน์ได้ดีกว่าวันมาฆบูชา ยิ่งแย่กว่านั้นและเป็นอาการที่น่าเป็นห่วงคือ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันมาฆบูชาคืออะไร ตรงกับวันไหน มีความสำคัญอย่างไร จำได้อย่างเดียว 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ เป็นวันที่ฉันต้องซื้อดอกกุหลาบให้แก่คนที่ฉันรัก ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าวันมาฆบูชาไม่มีการกำหนดเป็นวันที่ในปฏิทินได้เป็นที่แน่นอนเหมือนอย่างวันวาเลนไทน์ เพราะเราถือเอาตามจันทคติ ซึ่งเป็นเรื่องอยากพอสมควรที่จะทำให้เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวจดจำวันดังกล่าวนี้ได้ แต่นี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นซึ่งจะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของวันมาฆบูชาได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับการที่พวกเขารู้จักวันวาเลนไทน์ จึงฝากเป็นข้อคิดให้ช่วยกันหาทางแก้ไข ก่อนที่จะสายเกินแก้ ก่อนที่วันมาฆบูชาจะถูกลืมและไม่มีใครรู้จัก
กิจกรรมที่พึงปฏิบัติในวันมาฆบูชาเนื่องจากวันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติเป็นกิจกรรมพอสรุปได้ดังนี้คือ
การทำบุญตักบาตร
การฟังพระธรรมเทศนา
การรักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา
การเวียนเทียน ฯลฯ
*ด้วยความอนุเคราะห์บทความโดย พระมหาสุรศักดิ์ สุรเมธี (ชะมารัมย์) ปริญญาตรี พธ.บ.(ภาษาอังกฤษ) มหาจุฬาฯ , ฺ B.B. (Buddhist Study ) ปี 2 DOU California, USA. ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่ วัดอิสาน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
ดอกกุหลาบ กับ จำนวน และความหมายของสีเกร็ดเล็กๆ วันวาเลนไทน์ หรือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันแห่งความรักของคนทั่วทั้งโลก และในการแสดงความรักขอแต่ละชาติอาจจะแตกต่างกัน แต่ที่คล้ายกันคือการมอบดอกไม้ และดอกไม้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้แก่ ดอกกุหลาบ ทั้งจำนวน และในแต่ละสีก็บ่งบอกความหมายที่แตกต่างกัน ความหมาย จำนวนดอกกุหลาบ
1 ดอก หมายถึง รักแรกพบ
2 ดอก หมายถึง แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก หมายถึง ฉันรักเธอ
7 ดอก หมายถึง คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก หมายถึง เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก หมายถึง คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก หมายถึง คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก หมายถึง ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก หมายถึง เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก หมายถึง ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก หมายถึง ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก หมายถึง ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
30 ดอก หมายถึง ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
36 ดอก หมายถึง ความรักของฉันเป็นรักแท้
40 ดอก หมายถึง ฉันรักเธอจนวันตาย
99 ดอก หมายถึง ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก หมายถึง ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก หมายถึง คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอก หมายถึง ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
แล้วความรักของคุณหละเหมาะสำหรับดอกกุหลาบสีอะไร...
เดือนกุมภาพันธ์ มี 28 หรือ 29 วัน คำว่ากุมภาพันธ์นั้น ในภาษาอังกฤษมีชื่อว่า February ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวอิตาเลียนโบราณ เทพเจ้าองค์นี้มีพระนามว่า “Februus” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “Februa” ซึ่งเป็นตัวแห่งความตายและความบริสุทธิ์ เทพองค์นี้ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลอง แต่เดิมปฏิทินโรมันจะมีเพียงแค่ 10 เดือน (304 วัน) โดยจะนับเอาเดือนมีนาคมเป็นเริ่มต้นปีใหม่ (ไม่มีเดือนในช่วงฤดูหนาว) ใน 10 เดือนนี้ได้แก่เดือน Martius, Aprilis, Maius, Junius, Quintilis, Sextilis, September, October, November และDecember ปฏิทินนี้เป็นที่รู้จักและใช้ต่อกันเรื่อยมาจนถึงประมาณ738 ปีก่อนคริสตกาลจากนั้นเดือน January และ February ได้ถูกทำการเพิ่มขึ้นโดยกษัตริย์โรมันนามว่า Numa เพื่อให้จำนวนวันที่หายไปนั้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตรงนี้เองที่ทำให้เดือนOctober เลื่อนไปอยู่เดือนที่สิบ (อันที่จริงแล้วOct แปลว่าแปด)ต่อมาปฏิทินจูเลียตที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ถูกสร้างขึ้นโดย Julius Caesar ซึ่งเป็นผู้นำคนใหม่ของโรมัน ผู้นำโรมันคนนี้ได้เล็งเห็นถึงความผิดปกติ และความไม่ถูกต้องของปฏิทิน จึงได้ทำการสั่งให้เลิกทำการคำนวณเดือนจากการนับดวงจันทร์เหมือนที่เคยใช้กันมา แต่เดิมนั้นใช้ระบบดวงจันทร์ คืออาศัยข้างขึ้น ข้างแรมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์ เมื่อหมดข้างแรมทีนึง ก็นับเป็นหนึ่งเดือนพร้อมกับได้เปลี่ยนไปใช้วันที่ 1 ของเดือน January เป็นวันแรกของปี อีกทั้งผู้นำโรมันคนนี้ยังได้ทำการเปลี่ยนชื่อเดือน Quintilis เป็น July ซึ่งมาจากคำว่า Julius Caesar เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ตัวเอง และนอกจากนี้ปฏิทินจูเลียตยังได้กำหนดเอาไว้อีกว่าให้เดือนคี่มี 31 วัน เดือนคู่มี 30 วัน ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในปีปกติสุรทิน และมี 30 วันในปีอธิกสุรทิน ( คำว่า ปีปกติสุนทิน หมายความว่าเป็นปีปฏิทินที่มีจำนวนวัน 365 วัน และ ปีอธิกสุรทินหมายความว่าเป็นปีปฏิทินที่มีจำนวนวัน366 วัน) ต่อมาในยุคสมัยของกษัตริย์ Augustus Caesar ไม่พอใจที่เดือนเกิดของตนเองซึ่งเป็นเดือน 8 เป็นเดือนคู่แต่มีเพียงแค่ 30 วัน จึงได้ทำการดึงวันออกจากเดือน February ออกมา 1 วัน แล้วนำมาใส่ในเดือนเกิดของตนเอง และได้ทำการเปลี่ยนชื่อเดือนเกิดของตนเองเจาก Sextilis เป็น August จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเดือน August ถึงมี 31 วัน และทำไมเดือน February จึงเหลือ 28 หรือ 29 วันนั่นเองในประเทศไทยของเรานั้นเริ่มใช้ชื่อเดือนกุมภาพันธ์ในปี พ.ศ. 2432 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 โดนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นผู้เสนอให้ใช้จักรราศีเป็นตัวกำหนดชื่อเดือน

ใบงานที่ 3 ทำงานเป็นกลุ่ม

| | 0 ความคิดเห็น

กลุ่มที่ 11 การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษา
สมาชิกในกลุ่มที่ 11 มีรายชื่อดังต่อไปนี้
1.นางฐิติพรรณ พูลพิพัฒน์ (พี่จิน)

2.นางสุภาพ พฤษภ (พี่แตน)
3.นายเกรียงศักดิ์ ม่วงน้อย (พี่หมู)
4.นางนิตยาพร จันทร์อุดม (พี่จุ๋ม)
5.พระปลัดสุริยัญ สุริยวํโส (พี่หลวง)

เนื่องจาก สภาพปัจจุบันสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงตามสภาพสังคม โดยเฉพาะจากวิทยาการสมัยใหม่ และระบบการสื่อสาร ทั้งการที่สังคมโลกมีการติดต่อสัมพันธ์กับในประชาคมโลกอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในการที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทย โดยเฉพาะบุคคล สังคม ต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงตามสภาพสังคม เป็นผลให้ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล คนทั้งมวลเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การศึกษาต้องแก้ปัญหาทั้งมวลในการปฏิรูปการศึกษา มีหลักที่สำคัญคือ การปฏิรูปการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2540: 13) มีการปรับแนวคิด ทัศนคติ ผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทุกระดับ ให้มีการนำนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เข้ามามีส่วนในการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของคนไทย และสังคมไทย (สุมน อมรวิวัฒน์, 2540: 4) เพื่อความชัดเจน เป็นรูปธรรม ยิ่งเมื่อมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 เรื่องการปฏิรูปการศึกษา ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดกระบวนการขั้นตอนไว้ชัดเจนในการดำเนินการปฏิบัติการศึกษาดังกล่าว และได้มีกฎหมาย ระเบียบ เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษามีความพร้อมและสมบูรณ์ โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะกำหนดให้ทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาอำเภอบ้านธิ ปีการศึกษา 2550 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างปีการศึกษา 2549 กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ปีการศึกษา 2550 ขอบเขตการศึกษา 1. ขอบเขตด้านประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ครู และผู้บริหารในอำเภอบ้านธิ ประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2550 จำนวน 149 คน ครู 140 คน ผู้บริหารโรงเรียน 9 คน 2. ขอบเขตเนื้อหา ขอบข่ายภารกิจการบริหารงานวิชาการตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 12 ข้อ 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผลประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น 12) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ข้าราชการ หมายถึง ข้าราชการที่ทำหน้าที่สอน และข้าราชการที่ทำหน้าที่บริหารโรงเรียน ของโรงเรียนที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาอำเภอบ้านธิ 2. การบริหารงานวิชาการ หมายถึง งานวิชาการตามขอบข่ายภารกิจ ทั้ง 12 ข้อ ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3. การพัฒนางานวิชาการ หมายถึง การคิด ยกระดับ เพิ่มคุณภาพการดำเนินการ งานวิชาการในโรงเรียน โดยงานวิชาการตามขอบข่ายภารกิจทั้ง 12 ข้อ ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 4. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หมายถึง หน่วยงานบริหารที่บริหารจัดการตามภารกิจที่กำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 5. โรงเรียน หมายถึง หน่วยงานบริหารการศึกษาที่มีหน้าที่บริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามภารกิจที่กำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาอำเภอบ้านธิ 6. ปีการศึกษา 2550 หมายถึง ปีการศึกษา 2550 (คือ 16 พฤษภาคม 2550 – 31 มีนาคม 2551) 7. เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาอำเภอบ้านธิ หมายถึง การรวมสถานศึกษาของรัฐและเอกชนหลายๆ แห่งไว้ด้วยกัน ในลักษณะกลุ่ม เพื่อร่วมมือกันปฏิบัติภารกิจด้านพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเน้นที่การพัฒนางานวิชาการเป็นหลัก ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการศึกษาที่พบ จะสามารถนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้เกิดความชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อคุณภาพของผู้เรียน 2. นำแนวทางการพัฒนางานวิชาการไปปรับประยุกต์ใช้กับพื้นที่ หรือ สถานที่อื่นๆ ได้ 3. ทำให้ผู้เข้าร่วมพัฒนา คือ ครู และผู้บริหารโรงเรียน เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดการพัฒนาตนเอง 4. ผลจากการพัฒนางานวิชาการ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนมีคุณภาพการศึกษาเป็นที่ยอมรับของสังคม 5. นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีความสุขในการเรียน มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคม เป็นที่ยอมรับของสังคม






ใบงานที่ 4 ศึกษาค้นคว้า สังเคราะห์แนวคิดตัวเอง

| | 0 ความคิดเห็น

ค้นคว้า-สังเคราะห์แนวคิดตัวเอง ดังหัวข้อต่อไปนี้
4.1 การจัดการความรู้
การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

4.2 ขั้นตอนจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process) เป็นกระบวนการแบบหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงขั้นตอนที่ทำให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ หรือพัฒนาการของความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้
1) การบ่งชี้ความรู้ – เช่นพิจารณาว่า วิสัยทัศน์/ พันธกิจ/ เป้าหมาย คืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องรู้อะไร , ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง, อยู่ในรูปแบบใด, อยู่ที่ใคร
2) การสร้างและแสวงหาความรู้ – เช่นการสร้างความรู้ใหม่, แสวงหาความรู้จากภายนอก, รักษาความรู้เก่า, กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ - เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้ อย่างเป็นระบบในอนาคต
4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ – เช่นปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน, ใช้ภาษาเดียวกัน, ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
5) การเข้าถึงความรู้ – เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้นั้นเข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT), Web board ,บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ – ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจจัดทำเป็น เอกสาร, ฐานความรู้, เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit Knowledge อาจจัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน, กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม, ชุมชนแห่งการเรียนรู้, ระบบพี่เลี้ยง, การสับเปลี่ยนงาน, การยืมตัว, เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้นการเรียนรู้ – ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จาก สร้างองค์ความรู้>นำความรู้ไปใช้>เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง
4.3 แหล่งข้อมูล

แหล่งข้อมูล คือ ?
แหล่งข้อมูล หมายถึง สถานที่หรือแหล่งที่เกิดข้อมูล แหล่งข้อมูลจะแตกต่างกันตามข้อมูลที่ต้องการ เช่น
บ้ านเป็นแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับนักเรียน โดยบันทึก ข้อมูลไว้ในทะเบียนบ้าน
ห้องสมุด เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ต่าง ๆ
ข้อมูลบางอย่างเราอาจจะนำมาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งได้ เช่นราคาของเล่นชนิดเดียวกัน เราอาจจะหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลซึ่งได้แก่ร้านค้าหลายร้านได้ และข้อมูลหรือราคาที่ได้อาจจะแตกต่างกันไป
หนังสือพิมพ์ เป็นแหล่งข้อมูลที่มีทั้งข้อความ ตัวเลข รูปภาพ
ประเภทของแหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่
แหล่งข้อมูลที่เป็นวัตถุ สิ่งของ
แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่
ห้องสมุด เป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆไว้อย่างมากมายเพื่อสะดวกต่อการค้นหาข้อมูล
แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่
อุทยาน คือสถานที่ที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง เช่น ข้อมูลสัตว์ป่า ข้อมูลพรรณพืชต่างๆ
แหล่งข้อมูลที่เป็นวัตถุ สิ่งของ
โทรทัศน์เป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ทั้งภาพและเสียง ส่วนมากเรามักจะได้รับข้อมูลจากสื่อประเภทนี้เป็นจำนวนมาก
แหล่งข้อมูลที่เป็นวัตถุ สิ่งของ
วิทยุ เป็นแหล่งกำเนิดข้อมูลประเภท เสียง ให้ข้อมูลข่าวสารโดยคลื่นสัญญาณ ความถี่วิทยุ
แหล่งข้อมูลที่เป็นวัตถุ สิ่งของ
หนังสือพิมพ์ เป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ภาพและตัวอักษร ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะสะดวกในการรับข่าวสารเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน

4.4 เครื่อข่ายการเรียนรู้
เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสังคม แนวความคิดการเรียนรู้เป็นกระบบวนการที่ผู้เรียนต้องเป็นผู้จัดกระทำต่อสิ่งเร้าหรือสาระการเรียนรู้ มิใช่เพียงรับสิ่งเร้าหรือสาระเข้ามาเท่านั้น ผู้เรียนต้องเป็นผู้สร้างความมายของสิ่งเร้า หรือข้อความความรู้ ที่รับเข้ามาด้วยตนเอง กระบวนการสร้างความหมายของสิ่งเร้าที่รับเข้ามาที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตน (Personal experience) ซึ่งมีความแตกต่างกันและมีกระบวนการคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเรียนรู้ของบุคคลจึงเป็นกระบวนการที่แต่ละบุคคลต้องดำเนินการเอง เพราะกระบวนการสร้างความหมายเป็นกระบวนการเฉพาะตน หลักสำคัญของเครือข่ายการเรียนรู้การเรียนรู้ตลอดชีวิตควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของบุคคล องค์กรและชุมชนในการตระหนักถึงปัญหาและการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการสร้างเสริมประสบการณ์ การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทำให้เกิดการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปหลักการสำคัญของเครือข่ายการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ ๑. การกระตุ้นความคิด ความใฝ่แสวงหาความรู้ จิตสำนึกในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ๒. การถ่ายทอด แลกเปลี่ยน การกระจายความรู้ทั้งในส่วนของวิทยากรสากลและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ๓. การแลกเปลี่ยนข่าวสารกับหน่วยงานต่างๆ ของทั้งในภาครัฐและเอกชน ๔. การระดมและประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและลดความซ้ำซ้อน สูญเปล่าให้มากที่สุดการเรียนรู้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้นสำหรับบุคคลและความเจริญของชาติ ด้วยการเรียนรู้เป็นสื่อเชื่อมโยงกับข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้และทักษะซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ การเรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จก็คือ การที่แต่ละบุคคลสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือ ข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้ที่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหา และแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่วนเครือข่ายการเรียนรู้ก็เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิต เครือข่ายเป็นระบบการเชื่อมโยงระหว่างบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบันเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ทรัพยากร ตลอดจนส่งเสริมการภารกิจให้มีผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4.5 สารสนเทศ
สารสนเทศ (information) [1] เป็นผลลัพธ์ของการประมวลผล การจัดดำเนินการ และการเข้าประเภทข้อมูลโดยการรวมความรู้เข้าไปต่อผู้รับสารสนเทศนั้น สารสนเทศมีความหมายหรือแนวคิดที่กว้าง และหลากหลาย ตั้งแต่การใช้คำว่าสารสนเทศในชีวิตประจำวัน จนถึงความหมายเชิงเทคนิค ตามปกติในภาษาพูด แนวคิดของสารสนเทศใกล้เคียงกับความหมายของการสื่อสาร เงื่อนไข การควบคุม ข้อมูล รูปแบบ คำสั่งปฏิบัติการ ความรู้ ความหมาย สื่อความคิด การรับรู้ และการแทนความหมาย
ปัจจุบันผู้คนพูดเกี่ยวกับยุคสารสนเทศว่าเป็นยุคที่นำไปสู่ยุคแห่งองค์ความรู้หรือปัญญา นำไปสู่สังคมอุดมปัญญา หรือสังคมแห่งสารสนเทศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ แม้ว่าเมื่อพูดถึงสารสนเทศ เป็นคำที่เกี่ยวข้องในศาสตร์สองสาขา คือ
วิทยาการสารสนเทศ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งคำว่า "สารสนเทศ" ก็ถูกใช้บ่อยในความหมายที่หลากหลายและกว้างขวางออกไป และมีการนำไปใช้ในส่วนของ เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การประมวลผลสารสนเทศ
สิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศ จึงหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ทันเวลา และอยู่ในรูปที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดี เช่น อาจจะมีการกำหนดให้ผู้ใดบ้างเป็นผู้มีสิทธิ์ใช้ข้อมูลได้ ข้อมูลที่เป็นความลับจะต้องมีระบบขั้นตอนการควบคุม กำหนดสิทธิ์ในการแก้ไขหรือการกระทำกับข้อมูลว่าจะกระทำได้โดยใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลที่เก็บไว้แล้วต้องไม่เกิดการสูญหายหรือถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ การจัดเก็บข้อมูลที่ดี จะต้องมีการกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีลักษณะง่ายต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบเดียวกัน ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความเป็นอิสระในตัวเอง นอกจากนี้ไม่ควรมีการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อนเพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูล

ใบงานที่ 5 การใช้โปรแกรม SPSS for Windows

| | 0 ความคิดเห็น


การปรับตำแหน่งทศนิยมในผลลัพธ์ของ SPSS for Windows
โดยปกติโปรแกรม SPSS for Windows จะนำเสนอผลลัพธ์ในการวิเคราะห์สถิติต่าง ๆ ในรูปของตาราง และทศนิยมที่แสดงโดยมากจะเป็น 2 ตำแหน่ง แต่ในการวิเคราะห์ทางสถิติบางครั้ง ต้องการข้อมูลเบื้องต้นจากการวิเคราะห์ด้วย SPSS for Windows เพื่อมาใช้ในการคำนวณด้วยมือต่อไป อาจจะต้องการทศนิยมหลายตำแหน่ง เพื่อให้ผลการคำนวณเกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
ภาพประกอบ 1 ตารางผลลัพธ์จากการวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน
วิธีการปรับตำแหน่งทศนิยมสามารถทำได้ดังนี้
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ตาราง
ภาพประกอบ 2 เมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ตารางผลลัพธ์ที่ต้องการปรับตำแหน่งทศนิยม
2. คลิกเลือกเซลผลลัพธ์ที่ต้องการปรับตำแหน่ง ถ้าต้องการปรับหลายเซลสามารถทำได้โดยการกดปุ่ม [Ctrl] ค้างไว้แล้วคลิกเลือกเซลที่ต้องการปรับตำแหน่งทศนิยม ถ้าต้องการเลือกเซลเป็นช่วงที่อยู่ติดกันให้กดปุ่ม [Shift] ค้างไว้
ภาพประกอบ 3 เมื่อใช้ปุ่ม [Ctrl] หรือ [Shift] ช่วยในการเลือกเซลที่ต้องการปรับตำแหน่งทศนิยม
3. คลิกเมาส์ปุ่มขวา จะปรากฏเมนู ให้เลือกเมนู "Cell Properties..." จะปรากฏหน้าต่าง Cell properties
ภาพประกอบ 4 เมื่อคลิกเมาส์ปุ่มขวาจะปรากฏเมนูย่อย
4. ตรงช่อง Decimal ให้เลือกตำแหน่งทศนิยมตามต้องการ เมื่อเลือกได้แล้วให้คลิกปุ่ม Apply และปุ่ม OK เพื่อปรับตำแหน่งทศนิยมในตารางผลลัพธ์
ภาพประกอบ 5 ปรับตำแหน่งทศนิยมในช่อง Decimal ตามต้องการ
5. เซลในตารางผลลัพธ์ที่เลือกไว้ จะมีจำนวนตำแหน่งทศนิยมเปลี่ยนไป ให้คลิกพื้นที่ขาวด้านนอกหนึ่งครั้งเพื่อปิดหน้าต่างทั้งหมด
ภาพประกอบ 6 ผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับตำแหน่งทศนิยม
เอกสารชุดนี้จัดทำโดย : ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์. มีนาคม ๒๕๔๖

ใบงานที่ 12 โปรแกรม SPSS

| | 0 ความคิดเห็น

การใช้งาน โปรแกรม SPSS มีขั้นตอน และรายละเอียด ดังนี้

โปรแกรม SPSS เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่นิยมใช้วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติอีกโปรแกรมหนึ่ง-การเริ่มต้นสู่โปรแกรมเมื่อคลิกที่โปรแกรม SPSS จะเข้าสู่โปรแกรมดังรูป ซึ่งหากมีแฟ้มข้อมูลเดิม จะสามารถเลือกจากหน้าต่างนี้ หากต้องการเริ่มต้นใหม่ ให้คลิก Cancel เพื่อเข้าสู่ส่วนตารางทำงาน หรือที่เรียกว่า Data Editorข้อกำหนดโปรแกรมทั่วไปSPSS แบ่งส่วนที่ใช้ป้อนข้อมูลเป็น sheet 2 ส่วน หรืออาจเรียกเป็น Tab ได้แก่Data View : เป็นส่วนสำหรับใส่ข้อมูล ซึ่งแสดงชื่อตัวแปรเป็น Var ทุกคอลัมน์เมื่อทำการป้อนข้อมูล จะเปลี่ยนเป็น Var00001Var00002 … หากต้องการกำหนดชื่อตัวแปรเป็นอย่างอื่น ให้เลือกที่ Variable View จาก Sheet Tab ส่วนแถวจะอ้างอิงตั้งแต่ 1, 2, 3 ไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม หากพบว่าตัวอักษรที่แสดงชื่อตัวแปรหรือแถว มีขนาดเล็กมองไม่สะดวก สามารถเปลี่ยนได้โดยการเลือกเมนู View \ Fonts… เพื่อเลือกชนิดอักษรและขนาดตามต้องการ ( แนะนำให้ใช้ MS San Serif ขนาด 10point)Variable View : เป็นส่วนที่กำหนดลักษณะเฉพาะต่าง ๆ ของตัวแปร ได้แก่ ชื่อตัวแปร ( มีได้ไม่เกิน 8 ตัวอักษรรวมตัวเลข โดยห้ามเว้นช่องว่างหรือวรรค และห้ามมีสัญลักษณ์อื่น ๆ เช่น วงเล็บ เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น ) จำนวนทศนิยมความกว้างของคอลัมน์ Label ( ใช้ระบุรายละเอียดของตัวแปรซึ่งจำกัดเพียง 8 ตัวอักษร แต่ Label สามารถพิมพ์ข้อความได้มากกว่า รวมทั้งมีช่องว่างหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ได้ ) เป็นต้น•การนำข้อมูลเข้าสู่ Work sheet หรือ Data Editorสำหรับการนำข้อมูลเข้าสู่ Data Editor สามารถทำได้หลายวิธี แต่ 2 วิธีที่นิยม ได้แก่•การเปิดไฟล์จากไฟล์ประเภทอื่นโดยโปรแกรม SPSS สามารถที่จะเปิดไฟล์ได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์จากโปรแกรม Excel, Lotus, Sysstat หรือ Dbase สามารถเปิดได้โดยใช้เมนู File \ Open \ Data จากนั้นเลือกชนิดของไฟล์ เลือก Drive และ Folder ให้ถูกต้อง•การป้อนข้อมูลโดยตรงในการป้อนข้อมูล หากต้องการป้อนข้อมูลเข้าอย่างโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ใน Data Editor สามารถทำการ Copy และ Paste ข้อมูลในลักษณะของ Spread sheet ทั่วไปได้ ทำให้สะดวกต่อการใช้ป้อนข้อมูล•เมนูสำหรับการวิเคราะห์ผลทางสถิติในการวิเคราะห์นั้น จะใช้เมนู Statistics ดังรูป โดยจะมีเมนูย่อยที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางสถิติต่าง ๆ เช่น Descriptive Statistics, Compare Mean, General Linear Model, Correlation หรือ Regression เป็นต้น

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ใบงานที่ 13 ข้อคิด มุมมองจากการศึกษาดูงาน

| | 0 ความคิดเห็น

ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มต้นที่ สนามหน้าเมือง บรรยากาศก็อบอุ่นเหมือนเดิม มีการทักทาย สวัสดีกันตามธรรมเนียม แม้ว่าการศึกษาดูงานครั้งนี้ แม้ว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนอาจไม่สามารถร่วมเดินไปได้ โปรแกรมก็ดำเนินการไปตามปกติ เริ่มต้นที่นครศรีธรรมราช เดินทางอันยาวนานสู่หนองคาย ระหว่างการเดินทาง อาตมภาพได้นั่งพูดคุยกับอาจารย์อภิชาติ วัชรพันธ์ ทำให้เกิด Idea ดีๆ ในการบริหารโรงเรียน หรือขายฝัน คือ 1. โครงการต่อยอดให้ถึงฝัน ได้แก่ เด็กที่เรียนเก่ง ความประพฤติดี ส่งให้เรียนต่อโดยเราเป็นผู้ออกทุนให้จนจบตามลำดับ 2. โครงการสร้างอาชีพตามความถนัด ส่งเสริมให้มีอาชีพตามบริบทของท้องถิ่น 3. โครงการปั้นดินให้เป็นดาว ได้แก่ สร้างให้นักเรียนเป็นดารา หรือนักร้องตามความชอบหรือถนัดของเขา รวมทั้งส่งเสริมศิลปพื้นบ้าน เช่น เพลงบอก หนังตะลุง มโนราห์ เป็นต้น และเรื่องที่ 4 การบริหารจัดการรถรับส่งนักเรียน ทำให้เข้าสู่ระบบ เช่น ทำประวัติรถแต่ละคัน ประวัติการใช้งานแต่ละวัน การตรวจเช็คสภาพ เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้งาน (ทั้งหมดนี้ จะดำเนินการปีการศึกษา 2553 นี้)
บรรยากาศบนรถ ก็สนุกสนานบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามโปรแกรมประจำวัน เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ หรือซ้ำซาก การเดินทางตลอดวันและตลอดคืน ก็มีสิ่งให้ลุ้นระทึกอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปในแต่ละวัน นับว่าเป็นประสบการณ์ และเป็นความทรงจำที่ล้ำค่า หากพลาดโอกาสไปแล้ว ก็ถือว่าน่าเสียดาย หลับบ้างตื่นบ้าง สุดท้ายก็ถึงจุดหมายปลายทางที่จังหวัดหนองคายริมแม่น้ำโขง มองเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวทอดเป็นแนวยาวเชื่อมฝั่งประเทศไทยกับประเทศลาว ตอนเช้าๆ อากาศกำลังดีทุกคนมีความสุข ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกันตามความชอบใจ
จากนั้น คณะนักศึกษา ป บัณฑิตทุกคน เดินทางไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนอนุบาลหนองคาย คณะครูอาจารย์ที่นั้น ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี (หากเปรียบเทียบก็เท่ากับอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช)นั้นแหละ แต่ความแตกต่างก็ภูมิประเทศ ประสบการณ์ของผู้อำนวยการ และคณะครู ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เราคณะนักศึกษาต้องการค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่เขามีดี เช่น มี ผอ.ดี ครูดี การศึกษาครูในโรงเรียนก็ดี ความร่วมมือ ความรัก ความสามัคคีในโรงเรียนก็ดี และดีสุดท้ายที่น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะการที่เราจะมีดีกว่าคนอื่น ต้องทำอะไรที่ดีให้ต่างจากคนอื่น จึงจะได้ดี และไม่น่าแปลกใจที่โรงเรียนนี้ ได้รับรางวัลเหรียญทองมากมาย และที่สำคัญ ผอ.ต้องมีความสามารถในการเข้าหาเจ้านายดีด้วย
วันที่ 19 มกราคม 2553 เวลา 08.00 น. ได้เดินเข้าผ่านด่านประเทศไทยเข้าสู่ประเทศลาวโดยรถบัสนำเที่ยวลาวโดยมีไกด์ลาวสาวสวย ผู้มากด้วยประสบการณ์ในการเป็นผู้นำเที่ยว บรรยากาศประเทศลาวก็เป็นแบบเดียวกับหนองคายบ้านเรานั่นแหละ แม้ว่าเราอยู่คนละฝั่งโขง แต่ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ก็ยังคงมีความเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี ลาวแม้ว่าจะเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส หรือเป็นประเทศที่เปิดพรมแดน แต่ลาวก็ไม่ลืมความเป็นชาติลาว ซึ่งแตกต่างจากคนไทย ที่ถือตัว ถือตนว่าเป็นไท ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติ แต่ปัจจุบัน ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ของคนไทย เต็มไปด้วยวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเมืองขึ้นของเขา (อย่าดีแต่คุยเลย) แต่ว่าจุดเด่น จุดด้อยของลาวก็มีเหมือนกัน ตามวิสัยของคนเหมือนๆ กัน ไม่ใช่ว่าลาวจะดีไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะดีมาก
กว่าหรือชั่วมากกว่ากันเท่านั้นเอง
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 การไปทัศนศึกษาหมู่บ้านงูจงอาง ก็คงไม่มีอะไรแปลกมาก ก็คงอยู่ที่บริบทของพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศ และรวมไปถึงการสนับสนุนการสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. ซึ่งอาศัยว่า พื้นที่ตรงนี้ หมู่บ้านนี้มีงูจงอางเยอะ ก็ทำให้มันเกิดประโยชน์มีมูลค่าขึ้นมา และก็ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้มาดูการแสดง รับบริจาค ก็เหมือนกันลครเร่ แต่ที่นี่ไม่เร่ รอให้คนมาดูเองไม่ดีกว่าหรือ(อิอิ ฉลาด เราโง่หรือเปล่าที่ไปดูเขา อย่าคิดมาก) บ้านเรามีทรัพยากรเยอะแยะ ดีกว่าเขา ทำไมเราไม่คิด หรือว่า คิดแล้วไม่มีคนสนับสนุน ก็เลยเจ้งไปตามๆ กัน แต่ก็มีหมู่บ้านคีรีวง ที่น่าภาคภูมิใจที่ยังคงเป็นชุมชนการท่องเที่ยว ที่ดึงรายได้ให้กับชุมชนและจังหวัดนครศรีธรรมราช หมู่บ้านงูจงอางก็เช่นเดียวกัน ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ไปชม สร้างรายได้ให้กับชุมชนและจังหวัดอุดรธานีเช่นกัน แต่การไปดูหมู่บ้านงูจงอาง ก็พอสรุปได้ว่า ใครมีความคิดอะไรดีๆ ที่แตกต่างจากคนอื่นเขา ก็สร้างเป็นจุดขาย สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง คร้าบบบบบ!!!
วันที่ 21 มกราคม 2553 ไปเที่ยวเมืองเพชรบุรีเมืองขนมหม้อแกง แต่ว่าเราก็ไปเที่ยวป่าเข้าหาธรรมชาติ เทีอกเขา ลำเนาไพร และสายน้ำ แต่ไม่มีน้ำแล้ว เพราะธรรมชาติเปลี่ยนไป ภาวะโลกร้อน ด้วยฝีมือของคนหรือ มนุษย์ ที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ แต่จะประเสริฐจริงหรื๊อ ช่วงนี้เป็นบรรยากาศผ่อนคลายๆ สบายๆ
สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือสายตาของมนุษย์จะมองเห็น แต่บางทีสัมผัสได้ เช่น อากาศซึ่งอยู่นอกเหนือสายตาของมนุษย์ที่จะมองเห็นแต่มนุษย์ก็สัมผัสกับอากาศได้ ฉันใด วิญญาณ(การรับรู้) ก็เช่นกัน ตั้งแต่วันแรกที่เราไปศึกษาดูงานมาแต่ละที่นอนพักที่โรงแรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมานอนที่บ้านพักแถวเขื่อนแก่งกระจานก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้ขณะที่สติกำลังจะเผลอสติ (กำลังจะหลับนั่นเอง) หากพูดแบบชาวบ้านทั่วไป เรียกว่า ผีอำ หากมองในแง่วิทยาศาสตร์ ก็จะเรียกว่า จิตและสมองจะเก็บข้อมูลต่างๆ แล้วก็จะทำให้เราฝันไป ขณะร่างกายพักผ่อน แต่จิตยังไม่ได้พักผ่อน อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้เรียกว่าอะไร สิ่งเหล่าก็ขอให้เป็นประสบการณ์ของแต่ละคนก็แล้วกัน
วันรุ่งขึ้นทุกคนก็ตื่นเช้า ขมักขเม้นเตรียมตัวเดินทางกลับด้วยความประทับใจ และเหนื่อยกับการเดินทางแบบสลบสไลไปตามกัน คนหนุ่มที่ไฟแรงก็สู้ไหว คนแก่แล้วก็หลับกันไปตามอัธยาศัย และก็เดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย